เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ก.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ เราตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะ ทำไมต้องฟัง เวลาธรรมะ สิ่งใดที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งใดที่ได้ยินได้ฟังแล้วแก้ความลังเลสงสัยของตนได้ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกวันๆ นี่ตอกย้ำหัวตะปูไง ตอกย้ำหัวตะปู ตอกย้ำหัวใจของเราให้มันมั่นคงในสัจธรรม ให้มันมั่นคงในธรรมะไง ให้มันมั่นคงๆ เพราะอะไร เพราะมันเหลวไหล ใจของเรามันเหลวไหลถึงต้องฟังธรรมๆ ทุกวันไง

ดูสิ เราอยู่บ้านอยู่เรือน พ่อแม่เตือนลูกทุกวันน่ะ ขอให้เป็นคนดี ขอให้เป็นคนดี พ่อแม่เตือนทุกวัน แต่เตือนอย่างไรจนลูกมันบอกว่าไม่ต้องเตือนหรอก รู้แล้วๆ รู้แล้วอย่างไรพ่อแม่ก็เตือน นี่ก็เหมือนกัน ฟังธรรมๆ เพื่อหัวใจของเราไง

กำเนิด ๔ มีการเกิด เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ มีการกำเนิด อะไรมันกำเนิดล่ะ จิตมันพากำเนิดไง เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เน้นย้ำทุกวันๆ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แล้วกรรมมันคืออะไรล่ะ กรรมก็ยกเลย กรรมคือการกระทำ เราทำมาทั้งนั้นน่ะ เราทำคุณงามความดีมามันก็เกิดมาให้อุดมสมบูรณ์ของเรา เราทำมาๆ เราทำมาขาดแคลน เวลาเกิดมาๆ ถ้าพิการมา พิการคือพิการแต่กำเนิด พิการแต่กำเนิดแต่หัวใจเขาไม่พิการ หัวใจเขาเข้มแข็งขึ้นมา พิการแต่ร่างกาย แต่หัวใจเขาเข้มแข็ง หัวใจเขาประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา เขามีความสุข มีความยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเขาเบิกบานดีกว่าคนอาการครบ ๓๒ อีกต่างหาก

นั่นน่ะเวลาเราไปเห็นว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างกัน เราเกิดมานะ เราครบอาการ ๓๒ เราบอกนั่นกรรมสิ่งใด...มันก็กรรมนั่นแหละ การกระทำของเขา การกระทำของเขาทางวิทยาศาสตร์เขาบอกไม่ใช่ มันเป็นความผิดพลาดของหมอ มันเป็นความผิดพลาดของยีน ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังคิดเลยนะ จะตัดแต่งเลย ให้คนเกิดมาไม่มีโรคมะเร็ง ให้คนเกิดมาแล้วไม่มีโรคเลย นี่เขาตัดแต่ง

เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อเพราะว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมคือการกระทำ เขาทำกรรมของเขามา วิทยาศาสตร์พิสูจน์ค้นคว้าก็ค้นคว้าของเขาเป็นทางวิชาการ ถ้าทางวิชาการเขาก็ทำให้มันดีขึ้นมา เวลาดีขึ้นมา ทำให้มันดีขึ้นๆ คุณภาพชีวิตๆ ไง เพราะคุณภาพชีวิต เมื่อก่อนอายุขัยคนมันสั้นใช่ไหม เพราะทางการแพทย์มันเจริญใช่ไหม อายุขัยของเราก็ยั่งยืนขึ้นมา พออายุขัยยั่งยืนขึ้นมา ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ก็เพื่อดำรงคุณภาพชีวิตๆ แล้วคุณภาพชีวิต แล้วจิตใจเราล่ะ ทุกข์ไหม จิตใจเราทุกข์นะ ถ้าจิตใจเราทุกข์นะ คุณภาพชีวิตสิ่งนั้นมันเป็นคุณประโยชน์ มันเป็นบุญกุศลนั่นแหละ

แต่เวลาธรรมะๆ ธรรมะ เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ถ้าประสบอุบัติเหตุมา เวลาหายมา เขาให้กายภาพบำบัด กายภาพบำบัดเพื่อให้สุขภาพกายแข็งแรงไง แล้วสุขภาพจิตๆ ล่ะ สุขภาพจิตที่ดี เราทำคุณงามความดีมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาที่ลุมพินีวัน เกิดมา “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” เปล่งวาจาเลย เพราะอะไร เพราะได้สร้างบุญกุศลมาเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นชาติสุดท้าย เป็นพระเวสสันดรต้องสละลูกสละเมีย พระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ที่จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสละครอบครัวของตน ถ้าสละครอบครัวของตนนะ เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ผูกมัดหัวใจเหลือเกิน แต่สละแล้วก็ยังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สละแล้วก็เป็นบุญกุศล สละแล้วก็เป็นจริตนิสัย เป็นบุญมหาศาล

เวลาเป็นชาติสุดท้ายๆ เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ “เราเกิดมาแล้วเราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมต้องไปศึกษาค้นคว้า ศึกษาค้นคว้าด้วยมรรคด้วยผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยมรรคด้วยผลอันนั้นไง มันไม่ใช่ดีเพราะการเกิดไง

การเกิด กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เพราะบุญกุศลพาเกิดไง แต่คนเกิดมา คนไม่ใช่ดีเพราะการเกิด ดีเพราะการกระทำไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาแล้วบอกว่า “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมาค้นคว้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมันการกระทำไง การกระทำเรื่องมรรค ๔ ผล ๔ นี่ไง เรื่องอริยสัจนี่ไง

ถ้าอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจไง ถ้าจิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ เราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา เราก็มีร่างกายและจิตใจเหมือนกันไง ถ้าเรามีร่างกายจิตใจ สาวกสาวกะมันมีอริยสัจอยู่อันนั้น เราจะเอาหัวใจเรากลั่นมัน กลั่นบีบคั้นกิเลส เราเอาหัวใจของเราบีบคั้นกิเลส กลั่นออกมาจากอริยสัจ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเครื่องปั่นมันปั่นผลไม้ๆ เราก็จะเอาจิตเราปั่นๆๆ ทำให้ละเอียดเลย ทำให้ไม่มีอะไรเหลือตกค้างในใจเลย ถ้ามันทำอย่างนั้น แล้วทำอย่างนั้นทำอย่างไรล่ะ นี่ไง การกระทำ คนเราไม่ได้ดีเพราะการเกิด ดีเพราะการกระทำ แล้วทำอะไร ถามตัวเองว่าทำอะไร ถ้าทำอาชีพการงาน ทำหน้าที่การงานของตน นั่นก็เป็นดีของฆราวาสไง เราเป็นคนดีๆ ใช่ เป็นคนดี จิตใจสูงส่ง จิตใจนี้มีคุณธรรม จิตใจนี้มีน้ำใจทั้งนั้นน่ะ แต่น้ำใจ ถึงที่สุดแล้วมันก็ต้องพลัดพรากทั้งนั้นน่ะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วการพลัดพรากนั้นก็ไปเกิดอีก แล้วที่ไหนมีการเกิด การเกิด เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เป็นธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เป็นความจริง ถ้าความจริงขึ้นมาแล้ว แต่ขณะที่เกิดมาแล้ว ที่มีชีวิตอยู่นี่ ทำอย่างไรต่อไป ถ้าทำอย่างไร ทำคุณงามความดีของเราๆ แล้วอะไรเป็นความดีล่ะ

มีคนเขาไปถามพระนะ บอกว่าเวลาไปฉกชิงวิ่งราวมาเพื่อไปเลี้ยงพ่อแม่นี่เป็นบุญ เขาดูว่าการเลี้ยงพ่อแม่เป็นบุญนะ

ใช่ การเลี้ยงพ่อแม่เป็นบุญ แต่ที่มาไง ที่มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์หรือไม่ เวลาการกระทำ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้องดีงามขึ้นมา ทำแล้วมันจะเข้าสู่มรรคสู่ผล ถ้าความเห็นผิดๆ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้ามิจฉาทิฏฐิขึ้นมาแล้ว ยิ่งทำเข้าไปมันก็ออกห่างไปเรื่อยๆ ใช่ไหม ไอ้นี่เริ่มต้นด้วยการฉกชิงวิ่งราวมา การฉกชิงวิ่งราวมาเพื่อความจำเป็นๆ ความจำเป็นบีบคั้น ถ้าบีบคั้นของเขา ถ้าเขาตัดสินใจอย่างนั้น เขาต้องยอมรับการกระทำอย่างนั้น เพราะเขายอมรับการกระทำนั้น กรรมอันนั้นมันเกิดขึ้นมา คือไปฉกชิงวิ่งราวของเขามา คนที่เขาเสียหายไป คนที่เขาเสียหายนั้น เขาก็ต้องมีความเสียใจเป็นธรรมดา ความเสียใจเป็นธรรมดา เราทำน้ำใจเขา น้ำใจเขา เขาก็มีความเจ็บช้ำเหมือนกัน นี่กรรมมันเกิดๆ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมมันเกิดๆ

เราจะทำคุณงามความดีของเรา แต่ทำคุณงามความดีของเราเพื่อความดี ถ้าความดีมันก็ไประรานไอ้คนจิตใจที่มันไม่เห็นด้วย ไอ้นั่นมันก็เกิดกรรมเหมือนกัน แต่กรรมอย่างนั้นมันสุดวิสัย สุดวิสัยเพราะอะไร เพราะวุฒิภาวะของจิตมันแตกต่างกันไง จิตที่เห็นแก่ตัวมันก็ว่าเห็นแต่ผลประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ คนที่คิดจะเสียสละ เราเห็นผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นใหญ่ ถ้าเห็นผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นใหญ่ เขาก็เห็นด้วย เขาก็เสียสละของเขา เพราะเขายอมจำนนของเขา แต่ถ้าคนเขาไม่เห็นด้วย เขามีการกีดขวางของเขา อันนั้นก็กรรมอย่างนั้น

ฉะนั้น ถ้ามันเกิดมีการกีดขวาง มีการกระทำอย่างนั้น มีความไม่เห็นด้วย เราจะไม่ทำสิ่งใดๆ เลยหรือ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกจากราชวังมา พระเจ้าสุทโธทนะพยายามรั้งไว้ พยายามดูแลอย่างดีจะให้เป็นจักรพรรดิๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละๆ หนีออกมาบวช พระเจ้าสุทโธทนะมีความเจ็บช้ำน้ำใจมาก เพราะอะไร เพราะลูกของตน ความรักความผูกพัน เวลาพระเวสสันดรสละลูกสละเมีย สละขนาดนั้นมันเจ็บช้ำขนาดไหน พระเจ้าสุทโธทนะ เวลาลูกเสียไปแล้วก็หวังหลาน ลูกไปแล้วก็จะเอาพระราหุลไปเป็นกษัตริย์ ถึงเวลาเป็นกษัตริย์แล้ว ถึงเวลาแล้วนางพิมพาให้ไปขอสมบัติ ขอสมบัติก็ไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้ว่าสมบัติอะไรดี ให้สมบัติเป็นกษัตริย์นะ หรือจะให้สมบัติเป็นธรรม ให้สมบัติเป็นธรรมก็ให้พระสารีบุตรบวชให้เลย ให้เป็นสามเณร

ลูกก็เสียไป หลานก็เสียไป เสียไปหมดๆ เจ็บช้ำน้ำใจนักๆ ความเจ็บช้ำน้ำใจ การเจ็บช้ำน้ำใจ เวลาทำบุญ สิ่งที่ว่าทำดีๆ ทำดีแล้วมันสะเทือนหัวใจไหม ถ้ามันสะเทือนหัวใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไปดาวดึงส์ก็ไปเทศน์เอามารดา พระเจ้าสุทโธทนะเทศนาว่าการๆ จนพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ เอาพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ เอาพ่อเป็นพระอรหันต์น่ะ

ทีนี้คำว่าพ่อแม่ คำว่า “พ่อแม่” การแก้ไข การเชิดชู มันฟังกันได้ยาก คำหนึ่งก็อาบน้ำร้อนมาก่อน สองคำก็อาบน้ำร้อนมาก่อน ไอ้อาบน้ำร้อนมาก่อนๆ มันเป็นคำพูด แต่จริงๆ แล้วในหัวใจมันมีทิฏฐิของมัน ฉะนั้น ความทิฏฐิอย่างนั้น ถ้าเราแก้ไขของเราให้ความเห็นถูกต้อง ถูกต้องที่ไหน ถูกต้องให้ใจของเรามันเข้าสู่มรรคสู่ผลไง ถ้าสู่มรรคสู่ผล มันเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา

เกิดศีล ศีลคืออะไร ศีลคือความปกติของใจ เกิดสมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นไม่เรรวน ไม่เรรวนไปตามกิเลสที่มันชักนำไป กิเลสมันพลิกแพลง มันชักนำไป มีแต่ความเห็นของตนไง ความเห็นของตนแล้วก็อ้างอิง อ้างอิงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าเป็นหลักสัจจะความจริงมันเป็นโดยเนื้อหาสาระโดยข้อเท็จจริงของมัน ถ้าเป็นข้อเท็จจริงก็เป็นสัมมาสมาธิไง

พอสัมมาสมาธิแล้วเกิดปัญญาๆ ขึ้นมา เกิดภาวนามยปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก็ในมรรคในผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก็ตรัสรู้ธรรมในมรรคผลของท่าน ในมรรคผลของท่านนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน อานนท์ เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลย เราเอาสมบัติของเราไปคนเดียว เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลย เราเอาแต่มรรคผลของเราในใจของเราไปไง

ธรรมและวินัยเป็นทฤษฎี เป็นวิชาการที่วางไว้ๆ นี่ไง ทางวิชาการๆ ไง ถ้าไม่มีวิชาการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าๆ พยายามขวนขวายมา ไม่มีใครสั่งใครสอนเลย เวลาสั่งสอนก็สั่งสอนไปทางที่ผิดเสีย สั่งสอนไปด้วยทิฏฐิมานะของเขา สั่งสอนในความเห็นของเขา เป็นความเห็น ไม่ใช่ความจริง เวลาความเห็นๆ ความเห็นก็ชักนำกันไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางทั้งหมดเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เวลารื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง มันเป็นวิมุตติสุข มันเป็นความจริงๆ ความจริงมันประกาศในหัวใจ

เวลาเจ้าชายสิทธัตถะ อาฬารดาบส อุทกดาบสค้ำประกันบอกว่า “ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เหมือนเรา เป็นศาสดาเหมือนเรา เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา”

แต่เวลาเจ้าชายสิทธัตถะรู้เองเห็นเอง ในหัวใจมันยังมีความลังเลสงสัยอยู่ ในหัวใจยังมีความทุกข์ความยากอยู่ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้ว มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันไม่มีสิ่งใดตกค้างในหัวใจ มันรื้อค้นอย่างไรมันก็ไม่เจอ ค้นคว้าอย่างไร ของไม่มีมันก็คือไม่มี ของมันมีบอกไม่มี มันก็มี

สัจจะความจริงอย่างนี้ เสวยวิมุตติสุขๆ เพราะวิมุตติสุขอันนั้นเป็นความจริงอันนั้น มันเป็นธรรมะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง แล้ววางธรรมและวินัยนี้ไว้ ธรรมวินัยคือทฤษฎีนี่ไง เป็นวิชาการๆ แล้วเราศึกษาวิชาการขึ้นมาแล้ว แล้วกิเลสมันก็บังเงาไง บอกเรารู้ๆๆ...รู้อะไร ไม่รู้จักตัวเองมันจะรู้อะไร ไม่รู้อะไรเลย รู้อย่างนี้รู้เป็นประเพณีวัฒนธรรม ดูสิ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เราไปวัดไปวากัน วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เราหาสิ่งใดแล้วเราไปเจือจาน กตัญญูกับพ่อแม่ของเรา ให้พ่อแม่เราไปวัดไปวาด้วยความชื่นชม ด้วยความมีความสุขในหัวใจ มันรู้อย่างนี้ไง มันรู้เป็นประเพณีวัฒนธรรมไง มันไม่รู้แจ้งไง รู้ข้างนอก ไม่รู้ข้างในไง มันรู้ถึงประเพณีของชาวพุทธไง รู้ถึงพิธีกรรมการปฏิบัติของชาวพุทธไง มันก็รู้ถึงพิธีกรรมการปฏิบัติทฤษฎีไง ศีล สมาธิ ปัญญา อ๋อ! สมาธิเป็นอย่างนี้ ปัญญาเป็นอย่างนี้ มันเป็นการส่งออกไปหมดเลย เป็นการสร้างขึ้นทั้งหมดเลย มันไม่เป็นความจริง

ถ้าความจริง ตัวปัญญามันเป็นตัวปัญญา ไม่ใช่เขียนทฤษฎีว่าเป็นปัญญานั้น ทางวิชาการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมและวินัยนี้ไว้ ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา คำว่า “ศาสดาๆ” ถ้าคำว่า “ศาสดา” เราก็ทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในใจของเรา ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เราทำอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้มันก็เป็นความจริงของเราไง ถ้าเป็นความจริง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็ตอกย้ำตรงนี้ ตอกย้ำตรงนี้ ตอกย้ำตรงนี้ เวลาทำแล้วมันจริงหรือเปล่า

มันเป็นการคาดหมาย เป็นการจินตนาการ เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ท่านแบ่งพื้นฐานของปัญญาเป็น ๓ ขั้นตอน ขั้นตอนหนึ่ง การศึกษาการค้นคว้า สุตมยปัญญาคือการศึกษาทฤษฎี การศึกษาทางวิชาการเป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาคือการศึกษา การค้นคว้า การจดจำมา

เวลาทำขึ้นมาแล้วจิตมันสงบบ้างไม่สงบบ้าง มันเกิดจินตนาการขึ้นมา มันไม่เป็นความจริง นี่จินตมยปัญญา พอจินตมยปัญญา แล้วคนส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่นี้ จินตนาการไปเรื่อย แล้วจินตนาการไปโดยขาดสตินะ

“จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก” เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนค้นคว้ามาเอง หลวงปู่มั่นท่านเห็นฤทธิ์เดชของกิเลสมาขนาดไหน จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้ๆๆ เลย

แล้วจิตนี้พอมาทำคุณงามความดีๆ เวลาความดี คนดีกับคนดีทะเลาะกันน่ะ เวลาคนดีถือทิฏฐิมานะของตน แล้วก็ฟาดฟันกันด้วยความดีน่ะ แหลกไปหมดเลย เพราะความดีนั่นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน เวลาจินตนาการไป “ใช่ๆๆ ยอดเยี่ยมไปทั้งนั้น”...ทิฏฐิสูงเท่าฟ้า ตัวเองเก่งอยู่คนเดียว กิเลสมันบังเงา เห็นไหม จินตนาการมันเป็นอย่างนั้นน่ะ

เรื่องความละเอียดอ่อนเป็นของกิเลสในใจ ไม่ต้องให้ใครบอก ทำนุ่มนวลนะ ทำนุ่มนวลอ่อนหวานนะ...ทิฏฐิค้ำฟ้า ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์ เวลาทำ ทำไปอย่างนั้นมันไม่เป็นความจริงไง ถ้าเป็นความจริงนะ มันอ่อนน้อมถ่อมตน คำว่า “อ่อนน้อมถ่อมตน” มันเห็นน่ะ มันเศร้าใจ เศร้าใจมากนะ

เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านบอกเลยนะ เวลามันผิดพลาดพลั้งไป เรารู้อยู่ว่ามันผิด แต่ไม่มีสติปัญญาสามารถจะสู้มันได้น่ะ น้ำตาร่วงเลย ท่านพูดกับกิเลสนะ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ มันเหมือนเรารู้ทั้งรู้ รู้ทั้งรู้ แต่สู้ไม่ไหว รู้ทั้งรู้ แต่ทำสู้มันไม่ได้ นี่คนที่ภาวนามาเขาทำกันอย่างนี้ เขาถึงเห็นโทษเห็นภัยมันไง

เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดซึ้งใจมาก คนที่ผ่านมันมา คนที่มันเหยียบย่ำมันทำลายมา แล้วเล็ดลอดมาได้ เห็นภัยของมันแล้วกลัวมันมาก แล้วไม่ใช่กลัวใคร ไม่ใช่กลัวป้อมค่ายที่ไหน กลัวกิเลสในหัวใจคน ไม่กลัวป้อมค่ายเล่ห์กลของใครทั้งสิ้น กลัวกิเลสในหัวใจของเรา มันปลิ้นปล้อนหลอกลวงทั้งนั้น แล้วปลิ้นปล้อนไม่ปลิ้นปล้อนเปล่านะ เกิดทิฏฐิมานะขึ้นมาสำคัญตนว่าอู้ฮู! เหยียบย่ำเขาไปทั่ว เหยียบย่ำ เหยียบย่ำที่ไหนล่ะ มันก็เหยียบย่ำในใจนั่นล่ะ ดูถูกดูแคลนเขาไปทั้งหมด ดูถูกใคร

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เขาเกิดมา เขาเกิดมาด้วยบุญกุศลของเขา เขาได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สพฺเพ สตฺตานะ สัตว์ทั้งหลายเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขๆ เถิด นี่ไง โดยสัจจะไง แต่กิเลสมันพาเบียดเบียนไง กิเลสมันเบียดเบียนตัวมันก่อนไง เบียดเบียนมาแล้วก็เหยียบย่ำคนอื่นต่อไปไง มันร้ายกาจ ร้ายกาจตรงนั้นน่ะ ถ้าร้ายกาจตรงนั้น ฟังธรรมๆ ตอกย้ำมันๆ อย่าให้มันออกมา เรามีสติยับยั้งของเราไว้ กิเลสของเราอย่าให้มันออกลูกออกหลาน อย่าให้มันใหญ่โตเกินไปนัก พยายามขีดเส้นมันๆ ยับยั้งมันให้ได้ ยับยั้งมัน กัดฟันทนนะ อดนอนผ่อนอาหารกัดฟันสู้กับมันนะ

ดูหลวงตาว่าสิ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ รู้ทั้งรู้ รู้ทั้งรู้ต้องให้มันกระทืบ รู้ทั้งรู้ สู้มันไม่ได้นะ แล้วเราจะทำกัน ครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกว่าให้กำหนดพุทโธเสีย ให้มีคำบริกรรมนะ ให้จิตมันตั้งมั่น จิตเป็นเอกัคคตารมณ์จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นคือมันพ้นจากกิเลส มันพ้นชั่วคราวไง ถ้าจิตสงบ มันวางกิเลสได้มันจะสงบ ถ้ามันวางกิเลสไม่ได้ มันฟุ้งซ่านไปทั่ว ไอ้ที่ฟุ้งซ่านเพราะกิเลสมันยุมันแหย่ แล้วเราก็เชื่อมันไง อยากหาเหตุหาผลจะดูว่ามันถูกมันผิดอย่างไร นั่นล่ะเข้าทางมันหมดแล้ว กิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลสเป็นอันเดียวกัน ไปหมดแล้ว ยังอวดเก่งนะ “แหม! ภาวนาดี ภาวนาดี” ที่ไหนได้ มันโดนกิเลสมันกล่อมไปขนาดนั้นมันยังบอกมันภาวนาดีอยู่นะ นี่ไม่รู้ทันมันไง เราถึงกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

เขาบอกว่า “โอ้โฮ! มันเป็นสมถะ มันไม่มีปัญญา”

เออ! ไอ้คนไม่มีปัญญามันจะเอาตัวรอดได้ ไอ้คนปัญญาแก่กล้านั่นน่ะ กิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลสไปหมดน่ะ แต่มันบอกว่าอันนี้ธรรมะนะ อันนี้เป็นธรรม อันนี้เป็นสัจธรรม

เออ! เวลามันหลอก หลอกอย่างนั้นน่ะ หลอกด้วยความไม่รู้ของตนน่ะ เพราะไม่รู้มันถึงโดนหลอก แต่ครูบาอาจารย์เราท่านรู้เท่ารู้ทันอยู่แล้ว ท่านรู้เท่ารู้ทันด้วยการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันสงบตัวเข้ามา นั่นล่ะกิเลสมันสงบตัวลง เพราะกิเลสสงบตัวลง จิตถึงเป็นอิสระ จิตเป็นอิสระ จิตไม่พาดพิงถึงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น มันมีกำลังของมันขึ้นมา แล้วพอฝึกหัดใช้ปัญญาๆ นี่ปัญญาในพระพุทธศาสนา ภาวนามยปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เชื่อการพยากรณ์ของใครทั้งสิ้น ไม่เชื่อการชี้นำของใครทั้งสิ้น กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อการประพฤติปฏิบัติของตน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติของตนโดยกิเลสมันสวมเงาขึ้นมาก็ว่าเราดี เราแน่ เราเด่น แต่เราก็ต้องฝึกหัดของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเรา ครูบาอาจารย์ชี้นำเราแล้วเราปฏิบัติของเรา เกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนาเกิดตรงนี้ ปัญญาในพระพุทธศาสนาเกิดที่หัวใจ เกิดในปัจจุบัน ปัจจุบันคือมันไม่ขยับออกมาจากจิตเลย

ไอ้ที่เราคิดๆ กันที่สมอง เดี๋ยวก็คิดได้ เดี๋ยวก็พลั้งเดี๋ยวก็เผลอ เวลาเป็นอัลไซเมอร์ สมองก็มีครบ คิดไม่ได้ แต่เวลารับรู้ รับรู้ด้วยสายตานี่รับรู้ได้ จิตรับรู้ได้ทั้งนั้นน่ะ มันเกิดจากพลังงาน ธาตุ ๔ ร่างกายนี้เป็นแร่ธาตุ ไม่มีพลังงาน ไม่มีจิต มันเป็นสสารเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น แต่เพราะมีหัวใจไง

นี่กำเนิด ๔ นะ เพราะมีการเกิด มีการกำเนิด มีการค้นคว้า มันถึงมีสัจธรรม สัจธรรมคือการเห็น มีความรู้ความเห็นในใจของเรา สัจธรรมอันนี้ไง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมอย่างนี้ พระพุทธศาสนาสำคัญที่นี่ ไอ้เรื่องพิธีกรรม ศาสนพิธี ศาสนบุคคล มันเป็นเปลือกของศาสนา ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธสอนอะไร ศาสนาพุทธสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถอดถอนมันให้ทั้งหมดทั้งสิ้น ถอดถอนกิเลสในหัวใจของตน

กิเลสพญามารนั่นน่ะตัวร้ายนัก เราก็ว่ามันอยู่ไหน สร้างภาพกันเป็นรูปอวิชชา รูปยักษ์รูปมาร จะไปสู้กับมันนะ ไม่เห็นความคิดของเราที่อ่อนช้อยอ่อนหวาน นุ่มนวลอ่อนหวาน หลอกลวง พลิกแพลงในใจ ไปมองว่าอวิชชาเป็นยักษ์เป็นมาร

ใช่ ผลที่มันทำเป็นยักษ์เป็นมาร มันทำลาย ผลที่มันทำ แต่ตัวจริงๆ ของมัน โอ้โฮ! มันละเอียดลึกซึ้งในใจ แล้วใครเจอมันล่ะ เวลาไปเจอฟอสซิลไง ซากยักษ์ไง ไปปั้นยักษ์ไว้ในวัดไง ไปปั้นกิเลสไว้ในวัดนู่น หัวใจ กิเลสมันเหยียบย่ำที่ใจ ไม่เห็นไง

ครูบาอาจารย์ท่านให้ฝึกปฏิบัติ ถ้าศาสนาจะมีคุณค่า มีคุณค่าที่นี่ แก่นสารของพระพุทธศาสนาไง แก่นสารของคุณธรรมในหัวใจไง แก่นสารของธรรม เราจะหาแก่นสารอันนี้เพื่อชีวิตของเรา เอวัง